แถลงการณ์เรียกร้องให้ปล่อยตัวนางสาวราฮาฟ และต้องไม่ส่งกลับไปยังรัฐที่ทำให้เธอไม่ปลอดภัย
(English version below) สืบเนื่องจากการควบคุมตัวนางสาวราฮาฟ โมฮาเหม็ด แอล-เคนูน (Ms. Rahaf Mohammed Alqunun) หญิงชาวซาอุดีอาระเบีย ซึ่งได้หลบหนีจากครอบครัว เพราะไม่อยากแต่งงาน และได้ถูกทำร้ายอย่างหนักทางร่างกายและจิตใจ โดยได้เดินทางมาต่อเครื่องจากสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อลี้ภัยไปยังประเทศออสเตรเลีย แต่ระหว่างรอเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิปรากฎว่ามีบุคคลอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากสถานทูตราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ประจำประเทศไทย พร้อมบุคคลซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่สายการบินคูเวตแอร์ไลน์มาควบคุมตัวเธอไปกักขังไว้ที่ห้องพักในโรงแรมมิราเคิล ทรานซิท สนามบินสุวรรณภูมิ รวมทั้งได้ยืดเอกสารหนังสือเดินทาง ตั๋วเครื่องบิน และเอกสารประจำตัวไปแล้วนำตัวไป และไม่ยินยอมให้เธอเดินทางต่อไปยังประเทศออสเตรเลีย ขณะนี้เธอยังถูกกักขังอยู่ในห้องพักโรงแรมดังกล่าว นางสาวราฮาฟ ได้แจ้งแก่ทนายความที่เข้าให้การช่วยเหลือว่าเธอไม่ต้องการเดินทางไปยังประเทศคูเวตและประเทศซาอุดิอาระเบีย เนื่องจากหากถูกส่งตัวกลับไปจะมีภัยอันตรายถึงแก่ชีวิต จากเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องความเชื่อทางศาสนา สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนและมูลนิธิผสานวัฒนธรรมเห็นว่า การควบคุมตัวนางสาวราฮาฟ โมฮาเหม็ด แอล-เคนูน ถือเป็นการละเมิดสิทธิในเสรีภาพและความปลอดภัยของร่างกายของบุคคล อันเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานประการสำคัญที่ถูกรับรองไว้ในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและการเมือง ข้อ 9 และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 28 และพฤติการณ์การควบคุมตัวดังกล่าว ยังอาจเข้าข่ายเป็นการควบคุมตัวหรือลิดรอนเสรีภาพของบุคคลโดยอำเภอใจและไม่ชอบด้วยกฎหมายอีกด้วย เพราะนางสาวราฮาฟ มิได้กระทำความผิดกฎหมายใดใดในประเทศไทยขณะที่ขอต่อเครื่องเดินทางไปประเทศที่สาม การที่ประเทศไทยโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะผลักดันนางสาวราฮาฟ โมฮาเหม็ด แอล-เคนูน ซึ่งแสวงหาที่ลี้ภัยเพราะต้องเผชิญกับอันตรายอันเกิดจากการไม่ยินยอมสมรสและเหตุแห่งความเชื่อทางศาสนา ให้กลับไปยังประเทศต้นทาง ย่อมเป็นการกระทำที่ไม่สอดคล้องต่อหลักการสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะเรื่องเสรีภาพของบุคคลในการนับถือศาสนา สิทธิของบุคคลที่จะไม่ถูกบังคับให้ทำการสมรสโดยปราศจากความยินยอมอย่างเต็มใจ และสิทธิที่จะแสวงหาและพักพิงในประเทศอื่นๆ […]