admin

แถลงการณ์เรียกร้องให้ปล่อยตัวนางสาวราฮาฟ และต้องไม่ส่งกลับไปยังรัฐที่ทำให้เธอไม่ปลอดภัย

(English version below) สืบเนื่องจากการควบคุมตัวนางสาวราฮาฟ โมฮาเหม็ด แอล-เคนูน (Ms. Rahaf Mohammed Alqunun) หญิงชาวซาอุดีอาระเบีย ซึ่งได้หลบหนีจากครอบครัว เพราะไม่อยากแต่งงาน และได้ถูกทำร้ายอย่างหนักทางร่างกายและจิตใจ โดยได้เดินทางมาต่อเครื่องจากสนามบินสุวรรณภูมิเพื่อลี้ภัยไปยังประเทศออสเตรเลีย แต่ระหว่างรอเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินสุวรรณภูมิปรากฎว่ามีบุคคลอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากสถานทูตราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบีย ประจำประเทศไทย พร้อมบุคคลซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่สายการบินคูเวตแอร์ไลน์มาควบคุมตัวเธอไปกักขังไว้ที่ห้องพักในโรงแรมมิราเคิล ทรานซิท สนามบินสุวรรณภูมิ รวมทั้งได้ยืดเอกสารหนังสือเดินทาง ตั๋วเครื่องบิน และเอกสารประจำตัวไปแล้วนำตัวไป และไม่ยินยอมให้เธอเดินทางต่อไปยังประเทศออสเตรเลีย ขณะนี้เธอยังถูกกักขังอยู่ในห้องพักโรงแรมดังกล่าว นางสาวราฮาฟ ได้แจ้งแก่ทนายความที่เข้าให้การช่วยเหลือว่าเธอไม่ต้องการเดินทางไปยังประเทศคูเวตและประเทศซาอุดิอาระเบีย เนื่องจากหากถูกส่งตัวกลับไปจะมีภัยอันตรายถึงแก่ชีวิต จากเหตุแห่งความแตกต่างในเรื่องความเชื่อทางศาสนา สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชนและมูลนิธิผสานวัฒนธรรมเห็นว่า การควบคุมตัวนางสาวราฮาฟ โมฮาเหม็ด แอล-เคนูน ถือเป็นการละเมิดสิทธิในเสรีภาพและความปลอดภัยของร่างกายของบุคคล อันเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานประการสำคัญที่ถูกรับรองไว้ในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและการเมือง ข้อ 9  และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 28 และพฤติการณ์การควบคุมตัวดังกล่าว  ยังอาจเข้าข่ายเป็นการควบคุมตัวหรือลิดรอนเสรีภาพของบุคคลโดยอำเภอใจและไม่ชอบด้วยกฎหมายอีกด้วย เพราะนางสาวราฮาฟ มิได้กระทำความผิดกฎหมายใดใดในประเทศไทยขณะที่ขอต่อเครื่องเดินทางไปประเทศที่สาม การที่ประเทศไทยโดยสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองจะผลักดันนางสาวราฮาฟ โมฮาเหม็ด แอล-เคนูน   ซึ่งแสวงหาที่ลี้ภัยเพราะต้องเผชิญกับอันตรายอันเกิดจากการไม่ยินยอมสมรสและเหตุแห่งความเชื่อทางศาสนา  ให้กลับไปยังประเทศต้นทาง ย่อมเป็นการกระทำที่ไม่สอดคล้องต่อหลักการสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะเรื่องเสรีภาพของบุคคลในการนับถือศาสนา สิทธิของบุคคลที่จะไม่ถูกบังคับให้ทำการสมรสโดยปราศจากความยินยอมอย่างเต็มใจ และสิทธิที่จะแสวงหาและพักพิงในประเทศอื่นๆ […]

5 คดีสิทธิปี 2561 กับประเด็นที่กระบวนการยุติธรรมต้องทบทวนปี 2562

ในปี 2561 ที่ผ่านมา สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.) ได้ติดตามคดีด้านสิทธิมนุษยชนที่สำคัญอย่างน้อย 5 คดี  โดยคดีเหล่านี้มีประเด็นที่สะท้อนถึงปัญหาบางประการของกระบวนการยุติธรรมไทยได้เป็นอย่างดี เริ่มจากเดือนเมษายน 2561 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาคดี 4 แรงงานชาวเมียนมาร์ที่ตกเป็นจำเลยในความผิดฐานฆ่าผู้อื่น คดีนี้มีการตั้งข้อสงสัยว่าจำเลยทั้ง 4 ใช่ผู้กระทำความผิดที่แท้จริงหรือไม่ และในคำพิพากษาของศาลก็ยังไม่กระจ่างเท่าใดนัก เพราะศาลให้น้ำหนักกับคำรับสารภาพของจำเลยเป็นสำคัญ ถัดมาปลายเดือนพฤษภาคม 2561 ศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาคดีอภิชาต ชูป้ายต้านรัฐประหารของ คสช. หน้าหอศิลป์เมื่อปี 2557 โดยศาลยังคงรับรองว่า คสช. มีอำนาจตามระบอบแห่งการรัฐประหาร และประกาศห้ามชุมนุมไม่ขัด ICCPR เดือนมิถุนายน 2561 ศาลจังหวัดเชียงใหม่ได้มีคำสั่งไต่สวนการชันสูตรพลิกศพหรือไต่สวนการตายกรณีเจ้าหน้าที่ทหารที่ด่านรินหลวง อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ยิงนายชัยภูมิ ป่าแส  หลังจากนั้นคำถามถึงภาพจากกล้องวงจรปิดก็ดังขึ้นอีก พร้อมคำตอบกลับของกองทัพว่าข้อมูลภาพจากกล้องวงจรปิดถูกบันทึกทับไปแล้ว เดือนเดียวกันนั้น 12 มิถุนายน 2561 ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาคดีเจ้าหน้าที่เผาบ้านและทรัพย์สินของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงบางกลอยบน/ใจแผ่นดิน  โดยศาลพิพากษารับรองว่าบ้านบางกลอยบนและใจแผ่นดินคือชุมชนดั้งเดิมของกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงกลุ่มดังกล่าว แต่ก็ไม่สามารถจะให้กลับไปอยู่ที่เดิมได้ เพราะมีการประกาศเป็นอุทยานแห่งชาติแล้ว อีกทั้ง ศาลยังบอกว่ากระปฏิบัติการเผาบ้านและทำลายทรัพย์สินโดยเจ้าหน้าที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นการละเมิด จึงให้กรมอุทยานฯชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดี 6 คน เฉลี่ยรายละประมาณ 50,000 บาท […]

คดีอภิชาต ชูป้ายต้านรัฐประหาร

คดีนี้เกี่ยวข้องกับการต่อต้านรัฐประหารคดีแรกๆ ย้อนกลับไปเมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม 2557 ภายหลังการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เพียงหนึ่งวัน กลุ่มประชาชนจำนวนหนึ่งได้ออกมาทำกิจกรรมเชิงสัญลักษณ์ในพื้นที่บริเวณหน้าหอศิลป์ฯ เพื่อคัดค้านการรัฐประหาร  ซึ่งจ่าสิบเอกอภิชาต พงษ์สวัสดิ์ ก็เป็นหนึ่งในคนที่เข้าร่วมทำกิจกรรมในครั้งนั้น  กลุ่มประชาชนที่ออกมาคัดค้านรัฐประหารในวันนั้นได้แสดงสัญลักษณ์ที่แสดงออกถึงการคัดค้านรัฐประหาร ส่วนใหญ่จะเป็นป้ายข้อความในกระดาษ A 4 ที่เตรียมกันมาเอง ในส่วนของนายอภิชาตได้มีการชูป้ายข้อความว่า “ไม่ยอมรับอำนาจเถื่อน”  และในช่วงค่ำของวันนั้นเอง เจ้าหน้าที่ทหารได้เข้าเคลียร์พื้นที่และสลายกลุ่มประชาชน  นายอภิชาตถูกทหารจับกุมและถูกนำตัวไปควบคุมไว้ภายใต้อำนาจของกฎอัยการศึก 7 วัน ต่อมาวันที่ 28 เมษายน 2558 พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด ได้ยื่นฟ้องนายอภิชาต พงษ์สวัสดิ์ ข้อหาฝ่าฝืนประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ  ฉบับที่ 7/2557  ชุมนุมมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดให้เกิดความวุ่นวานในบ้านเมือง   ไม่เลิกชุมนุมเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิก  และขัดคำสั่งเจ้าพนักงานซึ่งสั่งการตามหน้าที่ตามอำนาจที่มีกฎหมายให้ไว้  ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งนั้นโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันควร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215 วรรคแรก มาตรา 216 และมาตรา 368  เป็นคดีหมายเลขดำที่ 1097/2559 คดีหมายเลขแดงที่ 9075/2559 […]

ข้อสังเกตต่อการลงมติเลือก กสม. ชุดที่ 4 ของ สนช.

หลังจากสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือ สนช. สภาที่แต่งตั้งโดยรัฐบาลทหาร คสช. ได้ “ดอง” การพิจารณารับรอง กสม.ชุดใหม่ไว้เกือบ 4 เดือน นับแต่ที่ประชุม สนช. แต่งตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญตรวจสอบประวัติ ความพฤติกรรม และพฤติกรรมทางจริยธรรม ของผู้ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ หรือ กสม. จำนวน 7คน ตั้งแต่วันที่ 6 กันยายน 2561 โดยมีกรอบระยะเวลาการทำงาน 60 วัน เพื่อส่งให้ที่ประชุม สนช.พิจารณาต่อไป แต่อย่างไรก็ดี คณะกรรมาธิการสามัญฯ ได้ขอขยายเวลาการตรวจสอบประวัติฯ ออกไปถึง ๒ ครั้ง ทำให้การพิจารณารับรอง กสม. ชุดใหม่ล่าช้ากว่ากำหนด อ่าน จดหมายเปิดผนึกภาคประชาชนถึงประธาน สนช. กรณีคณะกรรมาธิการสามัญฯ ตรวจสอบประวัติผู้ถูกเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง กสม. ล่าช้า ในที่สุดเมื่อวานนี้ วันที่ 27 ธันวาคม 2561 สนช. ก็ได้ลงมติรับรองผู้สมควรได้รับการเสนอชื่อให้เป็นคณะกรรมการสิทธิมนุษยแห่งชาติชุดที่ 4 […]

ปลดล็อคการเมือง แต่ไม่ปลดล็อค ”ดอง” กสม.ชุดใหม่

คสช.ปลดล็อคการเมืองเข้าสู่การเลือกตั้งอย่างจริงจังแล้ว ด้วยการประกาศในราชกิจจานุเบกษาวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๕๖๑ ที่ผ่านมา แต่สนช.ยังไม่ปลดล็อค “ดอง” กสม.ชุดใหม่ ที่ดองไว้ตั้งแต่เดือนสิงหาคม ๒๕๖๑ ถึงปัจจุบันกว่า ๑๐๐ วันแล้ว ยังไม่นำเข้าสู่การพิจารณาว่าจะให้ความเห็นชอบหรือไม่ตามอำนาจหน้าที่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๖๐ กำหนดให้มีคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นองค์กรอิสระ .ให้ทำหน้าที่ดูแลด้านงานสิทธิมนุษยชนให้เป็นไปตามหลักสากลและกฎหมายภายในประเทศ โดยในวันที่ ๒๑ สิงหาคม ๒๕๖๑ คณะกรรมการสรรหาคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติชุดใหม่ ซึ่งมีนายชีพ จุลมนต์ ประธานศาลฎีกา เป็นประธาน และมีนายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติ เป็นกรรมการ ได้มีมติเลือกกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติชุดใหม่ จำนวน ๗ คน จากนั้นนำรายชื่อทั้ง ๗ เข้าสู่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ เพื่อพิจารณาให้การรับรอง จนปัจจุบันสภานิติบัญญัติแห่งชาติโดยคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมของบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกสม. ที่มีพลเอกอู๊ด เบื้องบน เป็นประธาน ยังดองและยื้อการพิจารณาไปเรื่อยๆอย่างไม่มีทีท่าจะสิ้นสุดการพิจารณา กินเวลากว่า ๑๐๐ วันแล้ว ทั้งๆที่ในกรณีรับรองกรรมการการเลือกตั้งเพิ่มอีก ๒ คน ซึ่งเสนอเข้าสนช.หลังกสม. […]

ภาคประชาชนส่งจดหมายเปิดผนึกถึงประธาน สนช. หลังคณะกรรมาธิการสามัญฯ ตรวจสอบประวัติผู้ถูกเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่ง กสม. ล่าช้า

จดหมายเปิดผนึก วันที่   ๑๔ ธันวาคม ๒๕๖๑ เรื่อง  การตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อให้ ดำรงตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เรียน  ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่เคารพ ตามที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้แต่งตั้งคณะกรรมาธิการสามัญเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบประวัติ ความประพฤติ และพฤติกรรมทางจริยธรรมของบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ตั้งแต่เดือนกันยายน ๒๕๖๑ โดยกำหนดระยะเวลาการตรวจสอบให้แล้วเสร็จภายใน ๖๐ วัน คือวันที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ ต่อมาคณะกรรมาธิการสามัญฯ ขอขยายเวลาการตรวจสอบประวัติฯ ครั้งที่ ๑ ไปอีก ๓๐ วันซึ่งสิ้นสุดในวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๖๑ และล่าสุดขอขยายเวลาการตรวจสอบประวัติฯ ครั้งที่ ๒ อีก ๓๐ วัน ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๖๒ นั้น องค์กรภาคประชาสังคม องค์กรสิทธิมนุษยชน และบุคคลที่มีรายนามท้ายจดหมายนี้ ขอเสนอความเห็นและข้อเสนอมายังท่าน เพื่อการคัดเลือกบุคคลที่เหมาะสมและสมควรได้รับการเสนอชื่อให้ดำรงตำแหน่งกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ดังต่อไปนี้ […]

แจ้งข่าว : 6 ธันวานี้ ชาวบ้านชาติพันธุ์กะเหรี่ยง 6 ราย นัดรับเงินชดเชยเยียวยากรณีถูกไล่รื้อและเผาบ้านเมื่อปี 2554  

วันที่ 6 ธันวาคม 2561 เวลา 13.00 น. ณ ศาลปกครองกลาง ผู้ฟ้องคดีหรือทายาทของผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 ราย จะเดินทางมารับชำระหนี้ตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด  ในคดีหมายเลขดำที่ ส.58/2555 หมายเลขแดงที่ ส.660/2559 ระหว่าง นายโคอิ หรือคออี้ มีมิ ที่ 1 กับพวกรวม 6 คน ผู้ฟ้องคดี กับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ที่ 1 กับพวกรวม 2 คน ซึ่งศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2561 ให้กรมอุทยานแห่งชาติฯชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 ราย เป็นเงินเฉลี่ยรายละประมาณ 50,000 บาท ซึ่งในขณะนี้ผู้ถูกฟ้องคดีได้นำเงินจำนวนดังกล่าวมาวางไว้ที่ศาลแล้ว มูลเหตุของคดีนี้มีที่มาจากการที่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานได้ปฏิบัติการตามโครงการขยายผลการอพยพผลักดัน จับกุมชนกลุ่มน้อยที่บุกรุกพื้นที่ตามแนวชายแดนไทย-สหภาพเมียนมาร์ในพื้นที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน ครั้งที่ 4 บริเวณบ้านบางกลอยบนและบ้านใจแผ่นดิน ระหว่างวันที่ 4 ถึงวันที่ 9 […]

จดหมายเปิดผนึกถึงศาลทหาร : กรณีให้ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนลบข้อมูลเกี่ยวกับคำเบิกความพยานจากเว็บไซต์

[English Below] จดหมายเปิดผนึก วันที่  7  พฤศจิกายน พ.ศ.  2561 เรื่อง    ขอให้ทบทวนการใช้อำนาจศาลทหารกรุงเทพ กรณีการให้ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนลบข้อมูลเกี่ยวกับคำเบิกความพยานจากเว็บไซต์ เรียน    เจ้ากรมพระธรรมนูญ หัวหน้าสำนักตุลาการทหาร ตุลาการพระธรรมนูญหัวหน้าศาลทหารกรุงเทพ สืบเนื่องจากที่ศาลทหารกรุงเทพได้ทำการไต่สวนนายอานนท์ นำภา ทนายความ เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม 2561 จากกรณีที่เว็บไซต์ของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้เผยแพร่คำเบิกความพยานในคดีฐนกร (สงวนนามสกุล) ซึ่งถูกดำเนินคดีในข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116 จากการแชร์ผังทุจริตในโครงการก่อสร้างอุทยานราชภักดิ์ และข้อหาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 จากการกดไลค์เพจที่มีข้อความหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ และโพสต์เสียดสีคุณทองแดง สุนัขทรงเลี้ยง โดยศาลทหารเห็นว่าข้อมูลดังกล่าวมาจากเอกสารที่นายอานนท์ขอคัดถ่ายไปจากศาล  จากการไต่สวน ศาลทหารกรุงเทพเห็นว่าการเผยแพร่คำเบิกความดังกล่าวอาจก่อให้เกิดผลเสียต่อรูปคดี และเกิดผลกระทบต่อพยานที่มาเบิกความเป็นพยานต่อศาล จึงมีคำสั่งให้นายอานนท์แจ้งศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชนให้ลบข้อมูลดังกล่าวจากเว็บไซต์ภายใน 24 ชั่วโมง และห้ามมิให้บุคคลหรือองค์ใดนำคำเบิกความพยานและการดำเนินกระบวนพิจารณาของศาลในคดีนี้ไปลงเผยแพร่ในสื่อทุกชนิด มิฉะนั้นจะถือว่าเป็นการละเมิดอำนาจศาล . ทั้งนี้ ศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ไม่ได้มีการดำเนินการลบข้อความดังกล่าวออกจากเว็บไซต์แต่อย่างใด เพราะเห็นว่าการเผยแพร่ข้อความพยานดังกล่าวไม่ใช่การกระทำที่เข้าข่ายจะเป็นการละเมิดอำนาจศาล (อ่านแถลงการณ์ของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน) และเห็นว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงยื่นคำร้องขอเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบและคำร้องขอทุเลาการบังคับตามคำสั่งต่อศาลทหารกรุงเทพในวันที่ 4 ตุลาคม 2561 […]

แถลงการณ์ร่วม 26 องค์กรภาคประชาชน 93 นักวิชาการและคนทำงานด้านสังคม เรียกร้องให้ยุติการดำเนินคดีชาวกะเหรี่ยงแก่งกระจานโดยทันที

[English Below]    เผยแพร่ 4 พฤศจิกายน 2561 แถลงการณ์ร่วม ขอให้ยุติการดำเนินคดีชาวกะเหรี่ยงแก่งกระจาน ทั้งทางแพ่งทางอาญา  หลังศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และให้รัฐจ่ายเงินชดเชย  กรณีเจ้าหน้าที่เผาบ้านปู่คออี้และชุมชนกะเหรี่ยง เมื่อวันที่ 25-31 ตุลาคม 2561 มีสื่อมวลชนบางสำนักได้เผยแพร่ข่าวอย่างต่อเนื่องในทำนองว่า อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจฯ กรมอุทธยานฯ เข้าพบพนักงานสอบสวน สถานีตำรวจภูธรแก่งกระจาน อ.แก่งกระจาน จ.เพชรบุรี เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษให้สืบสวน สอบสวน ดำเนินคดีกับชาวกะเหรี่ยง คือทายาทของนายโคอิ มีมิ หรือปู่คออี้กับพวกรวม 6 คน ในข้อหายึดถือหรือครอบครองที่ดินในเขตอุทยานแห่งชาติ คือบริเวณบ้านบางกลอยบน-ใจแผ่นดิน ซึ่งถูกประกาศทับโดยเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เรื่องนี้นี้สืบเนื่องมาจากกรณีที่ในปี 2555  ปู่คออี้ และชาวกะเหรี่ยงบ้านบางกลอยบน-ใจแผ่นดิน รวม 6 คน ในฐานะผู้ฟ้องคดี ได้ยื่นฟ้องกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 ต่อศาลปกครองกลาง เป็นคดีหมายเลขดำที่ ส. 58/2555 ซึ่งเป็นคดีเกี่ยวกับการต่อสู้เพื่อความเป็นธรรม สิทธิชุมชนและสิทธิของชนพื้นเมืองที่ ได้รับความสนใจจากสาธารณะชนในช่วงเกือบ 10 ปีมานี้ โดยผู้ฟ้องคดีทั้ง 6 คน กล่าวหาว่า เมื่อปี 2554 ในการปฏิบัติการยุทธการตะนาวศรี เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานกลุ่มหนึ่ง ได้ใช้กำลังบังคับให้พวกตนต้องโยกย้ายออกจากที่ดินและชุมชนบ้านบางกลอยบน-ใจแผ่นดิน อันเป็นถิ่นกำเนิด ที่ทำกินและอยู่อาศัยมาหลายชั่วอายุคน ทั้งได้เผาทำลายบ้านเรือน ยุ้งฉาง เรือกสวนไร่นาของพวกตนและประชาชนกลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยงคนอื่นๆอีกหลายสิบคนจนเสียหาย โดยเจ้าหน้าที่อ้างว่าบ้านเรือน […]

เก็บประเด็นวงเสวนาป่าแหว่ง นักกฎหมายสิทธิชี้ช่องรื้อถอนบ้านพักตุลาการตีนดอยสุเทพ

วันที่ 28 ตุลาคม 2561 ที่ผ่านมา สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน(สสส.) ศูนย์ศึกษาสันติวิธีและความขัดแย้ง และเครือข่ายขอคืนพื้นที่ป่าดอยสุเทพ ได้ร่วมกันจัดงานเสวนาวิชาการ เรื่อง ความคิดเห็นของนักกฎหมายด้านสิทธิมนุษยชน “กรณีป่าแหว่ง” ณ ศูนย์ศึกษาสันติวิธีและความขัดแย้ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย งานเสวนาดังกล่าวสืบเนื่องจากการเคลื่อนไหวของเครือข่ายทวงคืนผืนป่าดอยสุเทพ เพื่อขอให้รื้อถอนบ้านพักตุลาการในพื้นที่ดอยสุเทพ และรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรีรับปากว่าจะย้ายสิ่งปลูกสร้างออก แต่จนบัดนี้ยังไม่ได้มีการดำเนินการใดที่เป็นรูปธรรม แม้ที่ผ่านมาจะมีการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 2 ชุด คือคณะกรรมการระดับจังหวัด และคณะกรรมการส่วนกลาง เพื่อแก้ปัญหานี้ คณะกรรมการระดับจังหวัดมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นประธาน มีมติไปแล้วเมื่อเดือนกรกฎาคม 2561 ให้รื้อย้าย 45 หลังที่ยังไม่มีผู้เข้าอยู่ ส่วนที่มีคนอยู่ ก็ให้รื้อย้ายโดยให้เอาคนที่เข้าไปอยู่แล้วลงด้านล่างนอกเขตป่าและจึงให้รื้อย้าย  ได้มีการส่งเรื่องมายังคณะกรรมการระดับชาติ ซึ่งมีรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ (นายสุวพันธ์) เป็นประธานแล้ว แต่ยังไม่มีการเปิดประชุมเลย ประเด็นข้อถกเถียงประการสำคัญของการพิจารณารื้อถอนบ้านพักตุลาการดังกล่าวคือ การจะใช้อำนาจทางกฎหมายใดในการรื้อถอน นี้จึงเป็นที่มาที่เครือข่ายภาคประชาชนจัดการเสวนาระดมความคิดเห็นขึ้นในครั้ง ความเป็นมาของพื้นที่ ปี 2483 มีพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดิน ในท้องที่อำเภอแม่ริม จังหวัดเชียงใหม่ พุทธศักราช 2483 ตามพระราชบัญญัติหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2479 (เพื่อประโยชน์ในราชการทหาร) รายละเอียดกฎหมาย ปี 2492 […]

1 15 16 17 18 19 32