เสียงจากพื้นที่ : จากปู่คออี้ ถึงบิลลี่ : การเรียกร้องสิทธิ ชุมชนในป่าและความเป็นธรรมของชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอย

เสียงจากพื้นที่ : จากปู่คออี้ ถึงบิลลี่ : การเรียกร้องสิทธิ ชุมชนในป่าและความเป็นธรรมของชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอย

สืบเนื่องจากวันที่ 27 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา มูลนิธิผสานวัฒนธรรม สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.) ครอบครัวนายพอละจี (บิลลี่) รักจงเจริญ เครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เขตงานตะนาวศรี และกลุ่มดินสอสี ได้ร่วมกันจัดเวทีวิชาการ ในหัวข้อ จากปู่โคอี้ ถึงบิลลี่ : การเรียกร้องสิทธิ ชุมชนในป่าและความเป็นธรรมของชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอย” เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และความคิดเห็นเพื่อความเข้าใจในวิถีชีวิตของชาติพันธุ์กะเหรี่ยง และกระตุ้นให้เกิดการแก้ปัญหาของชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ถูกประกาศเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ รวมทั้งเพื่อกระตุ้นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้เร่งสืบหาตัวบิลลี่ นักต่อสู้เพื่อสิทธิชุมชนของชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่สูญหายไปหลังจากถูกควบคุมตัวโดยเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจากตั้งแต่วันที่ 17 เมษายน 2557

งานครั้งนี้ มีทั้งนักวิชาการ นักกฎหมาย นักกิจกรรม ตัวแทนภาครัฐ ชาวบ้านบางกลอย เครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม สื่อมวลชน และผู้สนใจอื่นๆ เข้าร่วมงานผู้เข้าร่วมกว่า 60 คน

สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน เห็นว่าเนื้อหาของการเสวนาครั้งนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อการทำความเข้าใจประเด็นปัญหาความเป็นธรรมและสิทธิมนุษยชนร่วมสมัยหลายเรื่อง โดยเฉพาะสิทธิในกระบวนการยุติธรรม และสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากร จึงได้ถอดความจากงานเสวนาในแต่ละช่วงมาเผยแพร่ให้คนที่สนใจและไม่ได้เข้าร่วมงานได้ศึกษาเรียนรู้ต่อไป

ตอกแรก คำกล่าวเปิดงาน เวทีเสวนาวิชาการ “จากปู่โคอี้ ถึงบิลลี่ : การเรียกร้องสิทธิ ชุมชนในป่าและความเป็นธรรมของชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอย” โดย คุณสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม 

ตอนที่สอง ปาฐกถา ความสำคัญของ “ร่างพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการบังคับบุคคลให้สูญหาย พ.ศ….”  โดยรองศาสตราจารย์ ดร. ปกป้อง ศรีสนิท คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

**************************************************************************

เสียงจากพื้นที่ : จากปู่คออี้ ถึงบิลลี่ : การเรียกร้องสิทธิ ชุมชนในป่าและความเป็นธรรมของชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอย

คุณพิณนภา พฤกษาพรรณ ภรรยานายพอละจี รักจงเจิรญ หรือบิลลี่

ก่อนปี 2554 หนูได้มารู้จักกับปู่คออี้ เพราะพี่บิลลี่พาหนูไปหาปู่ที่บ้านบางกลอยบนหรือว่าใจแผ่นดิน ก็ได้ไปเห็นสภาพความเป็นอยู่ของปู่ ปู่เป็นคนที่รักษาธรรมชาติดีมาก  ปู่จะทำไร่หมุนเวียน ซึ่งจะไม่ได้ทำในป่าใหญ่ หรือที่ที่มีต้นไม้ใหญ่อย่างที่เป็นข่าวทางสื่อมวลชน

เวลาที่พวกหนูไปหาปู่ ปู่ได้บอกให้บิลลี่นำเอาเรื่องราวของชาวกะเหรี่ยงออกมาสื่อสาร มีครั้งหนึ่งที่ปู่ให้พี่บิลลี่ถ่ายคลิปวีดิโอไว้แล้วเอาไปให้อาจารย์ป๊อด (นายทัศน์กมล โอบอ้อม) เพื่อให้อาจารย์ป็อดส่งต่อให้พ่อหลวงรัชกาลที่ 9 ว่าปู่จะขออาศัยอยู่ที่บางกลอยบนหรือใจแผ่นดินตลอดไปโดยจะไม่ลงมาข้างล่าง แต่เรื่องยังไปไม่ถึงไหน อาจารย์ป็อดก็ถูกยิงเสียชีวิตก่อน

บิลลี่มาสมัครเป็นสมาชิก อบต. เพื่อที่จะได้ช่วยเหลือปู่และชาวกะเหรี่ยงที่เดือดร้อนได้ พอบิลลี่ได้เป็นสมาชิก อบต. บิลลี่ได้เดินเรื่องให้กับปู่คออี้และชาวกะเหรี่ยงเกี่ยวกับเรื่องที่ถูกเจ้าหน้าที่เผาบ้าน แต่เรื่องยังไม่ไปถึงไหน บิลลี่ก็หายไปอีกคน ตอนนี้หนูมาทำเรื่องแทนบิลลี่ ก็ไม่รู้ชะตากรรมว่าจะโดนอีกคนหรือป่าว

ทุกวันนี้ครอบครัวก็อยู่ด้วยความยากลำบาก หนูต้องทำงานทุกอย่างที่ทำได้ เพราะต้องดูแลลูกๆอีก 5 คน พ่อกับแม่หนูก็แก่แล้ว และสุขภาพไม่ค่อยดี ถ้าหนูออกมาข้างนอก แม่ต้องดูแลลูกๆให้ ออกมาก็ลำบาก ต้องเช่ารถมา ออกมาตั้งแต่ตีสาม ใช้เวลา 4 ชั่วโมงจากบ้านมาถึงกรุงเทพฯ

ที่ผ่านมาหนูได้ติดตามเรื่องของบิลลี่ ปัจจุบันคดีก็ยังอยู่ที่ ป.ป.ท. ยังไม่รู้ความคืบหน้า เรื่องยังเงียบอยู่จนถึงทุกวันนี้หนูอยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการกับผู้กระทำผิดและรีบผลักดันร่างกฎหมายให้ผ่านเร็วๆ เพื่อป้องกันไม่ให้มีคนต้องถูกอุ้มหายไปอีก ไม่อยากให้เรื่องที่เกิดขึ้นกับบิลลี่เกิดขึ้นกับคนอื่นต่อไป  หนูอยากให้บิลลี่เป็นคนสุดท้าย

นายปลุ จีโบ้ง ผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านบางกลอย ตัวแทนจากชุมชนบ้านบางกลอย

ผมเป็นคนใจแผ่นดินคนหนึ่ง ก่อนที่ผมจะมาอยู่ที่บ้านบางกลอยล่าง ผมก็อยู่ที่บ้านใจแผ่นดินมาก่อน  อยู่มาตั้งแต่จำความได้ จนตอนปี 2539 มีเจ้าหน้าอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน เจ้าหน้าที่ตำรวจตะเวนชายแดน และเจ้าหน้าที่ทหาร เข้าไปที่บ้านใจแผ่นดิน  ไปคุยกับชาวบ้าน เจ้าหน้าที่บอกว่าที่นี้อยู่ไม่ได้ เพราะติดชายแดนพม่า ถ้าอยู่ที่นี่หน่วยงานของรัฐจะเข้าไปช่วยได้ไม่ทั่วถึง และจะมีการรบกันระหว่างกะเหรี่ยง DKBA กับรัฐบาลพม่า การอยู่ที่นี้จะเป็นอันตราย แต่ชาวบ้านก็บอกกับเจ้าหน้าที่ว่าการรบกันไม่ได้มาถึงที่นี้ เป็นคนละส่วนไม่เกี่ยวกัน แต่เจ้าหน้าที่ก็อ้างอีกว่า ถ้าอยู่ที่นี้นานๆจะมีการทำลายต้นไม้ทีละเล็กละน้อย ฝ่ายชาวบ้านก็อธิบายว่าต้นไม้ที่นี้ไม่หมดง่ายๆ เพราะถ้าหมดก็หมดนานแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังยืนยันว่าอยู่ไม่ได้ ถ้าใครอยู่จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

ชาวบ้านจึงถามว่า ถ้าลงไปอยู่ข้างล่าง เจ้าหน้าที่จะช่วยอะไรได้บ้าง เจ้าหน้าที่บอกว่าจะช่วยทุกอย่างที่ชาวบ้านอยากได้ ไม่ว่าจะเป็นที่ทำกิน ถนน โรงเรียน พร้อมจะช่วยทุกอย่าง  ถ้าชาวบ้านอยู่ข้างบนก็ไม่ได้เรียนหนังสือ ไม่มีความรู้ โตไปก็เป็นคนไม่มีคุณภาพ ชาวบ้านบอกกับเจ้าหน้าที่ว่า พวกเขาใช้ชีวิตแบบทำไร่หมุนเวียน ไม่ต้องการความรู้อะไรมากมาย

ชาวบ้านถามเจ้าหน้าที่อีกว่า ถ้าพวกเขาลงไปแล้วอยู่ไม่ได้ จะทำอย่างไร เจ้าหน้าที่บอกว่าให้ลองไปอยู่ก่อน ถ้าอยู่ไม่ได้จริงๆก็ให้กลับขึ้นมาได้  มีการต่อรองกันหลายครั้งจนในที่สุดชาวบ้านยอมลงมา เพราะเจ้าหน้าที่บอกว่าถ้าอยู่ต่อก็จะถูกจับดำเนินคดีจริงๆ

ตอนนั้น เจ้าหน้าที่รับปากว่าจะช่วยเหลือเรื่องข้าวเป็นเวลา 3 ปี เพื่อให้ชาวบ้านได้ฟื้นตัวก่อน ส่วนพื้นที่ทำกินเจ้าหน้าที่บอกจะช่วยเท่าที่ชาวบ้านอยากได้ แต่พอมาอยู่จริง เจ้าหน้าที่เอาข้าวมาให้ครอบครัวละ 3 ถังและให้เพียงครั้งเดียวก็จบเลย ส่วนพื้นที่ทำกินที่เจ้าหน้าที่ก็ให้จริง แต่บางคนก็ทำได้ บางคนก็ทำไม่ได้ เพราะพื้นที่เป็นดินลูกรัง ปลูกข้าวไม่ขึ้น

ต่อมาก็มีหน่วยงานที่เขาเข้า เอาไก่มาให้เลี้ยง เอาเป็ดมาให้เลี้ยง เอาหมูให้เลี้ยง แต่ชาวบ้านไม่เคยทำอาชีพแบบนี้มาก่อน เคยทำแต่อาชีพทำไร่ข้าว พอให้เปลี่ยนวิถีชีวิตมาเลี้ยงสัตว์มันก็ยากเหมือนกัน การเริ่มต้นชีวิตใหม่ไม่ง่ายเลย แล้วชาวบ้านบางคนที่พื้นที่ทำกินไม่ได้ ก็จำเป็นต้องออกไปรับจ้างข้างนอก พอพูดภาษาไทยไม่ได้  ก็ไม่มีใครอยากจะจ้าง บางคนไม่เคยรับจ้าง รับจ้างไม่เป็น อยากจะพักก็ไม่ได้ ถูกนายจ้างด่า ซึ่งชาวบ้านไม่คุ้นชิน เพราะเมื่อก่อนเราทำไร่หมุนเวียน เราอยากจะพักก็พักได้ตามสบายใจ ไม่มีใครว่า การเปลี่ยนวิถีชีวิตมันเปลี่ยนยาก และพอหน่วยงานรัฐที่รับปากว่าจะช่วยเหลือ ก็ช่วยไม่เต็มที่ พอไม่มีอาชีพ ชาวบ้านก็กลับขึ้นไปอยู่ที่เดิม เพราะเจ้าหน้าที่เคยรับปากไว้ว่าถ้าอยู่ไม่ได้ก็สามารถขึ้นไปอยู่ที่เดิมได้  แต่พอกลับขึ้นไปอยู่ที่เดิม เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าได้จัดสรรพื้นที่ให้แล้ว ทำไมต้องกลับขึ้นไปบุกรุกป่าต่อ ชาวบ้านก็อธิบายว่าเขาไม่ได้บุกรุก เขากลับขึ้นไปอยู่ที่เดิมของเขาที่เขาเคยอยู่มาแต่ดั้งเดิม  ตอนนี้ก็มีหลายคนที่อยากจะกลับไปอยู่ที่เดิม เพราะไม่สามารถทำกินได้