โอบกอดมึนอร่วมใจส่งพอละจี
“พอละจี งดงามดั่ง ดอกไม้เงิน
พอละจี จิตเจริญความดี ด้วยการให้
พอละจี รักชาติเชื้อเผาพันธุ์ สานหัวใจ
พอละจี ความจริงอันยิ่งใหญ่ ใจแผ่นดิน”
บทกวี แด่ พอละจี โดยนายเกรียงไกร ชูช่วง ตัวแทนพี่น้องกะเหรี่ยงถูกขับขานขึ้นภายในงาน รำลึกถึง นายพอละจี รักจงเจริญ หรือ บิลลี่ ที่จัดขึ้นเมื่อวันที่ 16 กันยายน 2562 ณ ห้องประชุม 6-200 ตึก 6 อาคาร Student Center มหาวิทยาลัยรังสิต โดยมีกลุ่มชาติพันธุ์ เข้าร่วมในงานเพื่อรำลึกถึงบิลลี่ที่ถูกทำให้เป็นบุคคลสูญหายมายาวนานกว่า 5 ปี
การจัดงานครั้งนี้สืบเนื่องมาจาก การที่บิลลี่ แกนนำชาวบ้านที่เรียกร้องเพื่อสิทธิชาวกะเหรี่ยง หายตัวไปหลังจากที่ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานฯควบคุมตัว เมื่อวันที่ 17 เมษายน 2557 จนกระทั่งปัจจุบันเป็นเวลากว่า 5 ปีแล้ว และเมื่อวันที่ 3 กันยายน 2562 กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ได้แถลงความคืบหน้าคดีนายพอละจี รักจงเจริญ พบว่าเสียชีวิตแล้ว โดยพบชิ้นส่วนกระดูกถูกเผา และถ่วงน้ำในเขตอุทยานแห่งชาติแก่งกระจาน แต่ยังไม่สามารถระบุสาเหตุการเสียชีวิต และนำตัวผู้กระทำความผิดมาลงโทษได้
โดยภายในงานรำลึกถึงบิลลี่ในครั้งนี้ บรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างอบอุ่น โดยมีทั้งการแสดงรำต่าง ๆ โดยเยาวชนกะเหรี่ยง การร้องเพลงเพื่อระลึกถึงบิลลี่ รวมไปถึงการให้กำลังใจมึนอ ที่ต้องพบเจอกับการสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ในครั้งนี้
มึนอกล่าวว่า “ใน 5 ปีที่ผ่านมาเกิดความลำบาก เนื่องจากพี่บิลลี่เปรียบเสมือนเสาหลักภายในบ้าน เสาหลักหายไปบ้านก็ไม่มั่นคง ตัวหนูเองงต้องทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ต้องทำงานทั้งภายในและภายนอกบ้าน ในใจก็รอคอยว่าเมื่อไหร่พี่บิลลี่จะกลับมา..พี่บิลลี่หายไปไหน และเป็นอย่างไรบ้าง และตัวหนูได้ออกมาเรียนรู้กับชุมชน ก็มีหลายๆเรื่องที่ออกมาติดตามหรือแม้กระทั่งคดี จนถึงวันนี้หนูได้ทราบว่าพี่บิลลี่เสียชีวิตไปแล้ว จากที่ดีเอสไอช่วยติดตามคดี หนูก็รู้สึกใจหายและเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อยากให้ผู้ที่มีกฎหมายอยู่ในมือช่วยให้เกิดความเป็นธรรมด้วย”
ฉายซ้ำภาพความสุข
บรรยากาศภายในงานครุกรุ่นไปด้วยบรรยากาศที่แสดงให้เห็นถึงความอ่อนโยนของชาติพันธุ์กะเหรี่ยงที่สามารถเชื่อมร้อยกับทุกคน เหมือนกับความหมายของคำว่า ปะกาเกอะญอ ที่หมายถึง คน ความเรียบง่ายแสดงให้เห็นมุมมองของปกาเกอะญอที่อธิบายโลกและชีวิตที่ไม่ซับซ้อนเกินจะเข้าใจ และสัมพันธ์ไปกับวิถีธรรมชาติที่พวกเขาต้องพึ่งพา
ในช่วงแรกของงาน เป็นช่วงเวลาที่ผู้เขียนรู้สึกใจหายและสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก มีเสียงดนตรีดังขึ้นมาพร้อมภาพถ่ายของบิลลี่ถูกฉายซ้ำๆไปมาบนจอโปรเจคเตอร์ เป็นภาพการทำงาน การลงพื้นที่ของบิลลี่ และเมื่อวิดีโอหนึ่งถูกกดเล่น มันยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูด เป็นภาพเหตุการณ์ที่บิลลี่หยอกเย้าปู่คออี้ เขาเข้าไปหอมที่แก้มของปู่คออี้พร้อมทั้งสวมกอด ทางด้านปู่คออี้ก็แสดงความรักตอบโดยการหอมที่แก้มของบิลลี่ แม้วิดีโอจะเป็นการฉายภาพเพียงสั้นๆ แต่สิ่งที่จะสื่อนั้นมากเกินจะเอื้อนเอ่ย ในวิดิโอบิลลี่และมึนอยิ้มอย่างมีความสุขแบบที่ผู้เขียนเห็นแล้วยังรู้สึกปลื้มปริ่มในใจ และภาพเหตุการณ์หลังจากนั้น บิลลี่กับมึนอได้ก้มลงกราบแทบเท้าปู่คออี้ (ซึ่งปู่คออี้เป็นปู่แท้ๆของบิลลี่) แสดงให้เห็นว่าแม้จะเป็นครอบครัวเล็กๆ แต่มีความสุขขนาดไหนในช่วงที่ทุกคนได้อยู่พร้อมหน้ากัน เป็นคลิปวีดีโอสั้นๆที่แสดงให้เห็นถึงความผูกพันธ์ของปู่คออี้กับบิลลี่ได้เป็นอย่างดี ที่ทำให้ใครหลายคน ๆ ภายในงานน้ำตาซึมกับวีดีโอนี้
พิธีกรรม ความเชื่อ: ส่งบิลลี่คืนสู่ธรรมชาติ
หลังจากที่ทราบจากดีเอสไอพบว่าบิลลี่เสียชีวิตแล้ว จึงมีการจัดพิธีกรรมรำลึกขึ้น เพื่อเป็นการเชิญวิญญาณของบิลลี่ให้ไปสู่สุขคติ พิธีกรรมรำลึกนี้เป็นพิธีกรรมที่เป็นพิธีกรรมความเชื่อของพี่น้องชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิม คือมีทั้งพิธีกรรมทางพุทธ และพิธีกรรมทางคริสต์ ซึ่งมีพี่น้องปกาเกอะญอภาคเหนือมาร่วมพิธีด้วย โดยระบบความเชื่อของกะเหรี่ยงมีความสัมพันธ์กับวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ ซึ่งเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ มนุษย์กับธรรมชาติ และมนุษย์กับสิ่งที่ลี้ลับ
เดิมชาวกะเหรี่ยงนับถือผี มีการบวงสรวงและเซ่นสังเวยอย่างเคร่งครัด ภายหลังหันมานับถือศาสนาพุทธ และศาสนาคริสต์มากขึ้น แต่ก็ยังคงความเชื่อเดิมอยู่ไม่น้อย เป็นการนำความเชื่อทั้ง 3 อย่างนี้มาเชื่อมอยู่ด้วยกัน เป็นการเชื้อเชิญดวงวิญญาณของผู้เสียชีวิตกลับไปสู่สิ่งที่เคารพและสิ่งที่บูชา ความเชื่อของพี่น้องชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิมนี้เป็นการปลุกขวัญหรือเรียกขวัญบิลลี่ แทนด้วยการใช้ใบไม้และดอกไม้ นำกลีบดอกไม้โรยไว้บนดิน คนกะเหรี่ยงเชื่อว่าคนอยู่ร่วมกับธรรมชาติ ความเชื่อแบบพุทธจะใช้วิธีการเทน้ำหรือกรวดน้ำ และความเชื่อแบบคริสต์ก็จะนำดินใส่ภาชนะไม้ แล้วนำไปฝังเพื่อนำบิลลี่กลับคืนสู่ผืนป่า ทุกพิธีกรรม สื่อถึงการกลับสู่ธรรมชาติ การพาบิลลี่กลับไปสู่ที่บิลลี่จากมา เป็นการนำพาบิลลี่คืนสู่จุดเริ่มต้นของชีวิตมนุษย์
กอดกะเหรี่ยง: โอบกอดมึนอ
กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นเพื่อส่งผ่านกำลังใจให้มึนอ เป็นการกอดกับครอบครัวของบิลลี่ และกอดให้กำลังใจหน่วยงานที่มีส่วนให้คดีนี้คลี่คลาย บรรยากาศภายในงานเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้เขียนรู้สึกสุขใจยิ่งนัก พี่น้องชาวกะเหรี่ยงส่งต่อกอดของตนให้มึนอและลูกๆทั้งห้า บรรยากาศเต็มไปด้วยความอบอุ่นและอบอวลไปด้วยกำลังใจที่เปี่ยมล้น มึนอน้ำตาไหลด้วยความซึ้งในใจ
ในความหลากหลายของเชื้อชาติไทย พี่น้องทุกกลุ่มชาติพันธุ์ก็จะโอบกอดกัน อย่างน้อยเพื่อที่จะสื่อว่า การกอดเป็นการแสดงถึง ความรัก และให้กำลังใจ มึนอถูกโอบกอดจากพี่น้องชาวกะเหรี่ยงหลายๆภูมิภาค เพื่อเป็นกำลังใจให้มึนอซึ่งสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไปจากเหตุการณ์การทำให้บุคคลสูญหาย หลังจากนั้นก็เป็นการส่งกอดต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
หลังกอดกะเหรี่ยงเสร็จสิ้นลง เพลงๆหนึ่งได้ดังขึ้นมา “หากฉันเกิดเป็นนกที่โผบิน ติดปีกบินไปให้ไกลไกลแสนไกล จะขอ เป็นนกพิราบขาว เพื่อชี้นำชาวประชาสู่เสรี” ซึ่งเป็นเพลงที่บิลลี่ชอบ และพยายามฝึกร้องอยู่บ่อยครั้ง นั่นก็คือเพลง “เพื่อมวลชน”
จุดเริ่มต้นของพิธีกรรมความเชื่อทั้งหมด ล้วนเกิดจากผืนป่า เนื่องด้วยชาวกะเหรี่ยงมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ผูกพันและเติบโตมากับผืนป่า การดำเนินชีวิตของชาวกะเหรี่ยงกลมกลืนไปกับธรรมชาติในพื้นที่อันเป็นถิ่นฐานของบรรพบุรุษ ดังนั้นการนำพาบิลลี่คืนสู่จุดเริ่มต้นของชีวิตมนุษย์ นั่นก็คือการกลับคืนสู่ธรรมชาติ ดังนั้นถ้าเขาสิ้นลมหายใจ เขาก็อยากกลับคืนสู่ป่า ที่ซึ่งเป็นชีวิตและหัวใจของเขา