คำกล่าวเปิดงาน เวทีเสวนาวิชาการ “จากปู่โคอี้ ถึงบิลลี่ : การเรียกร้องสิทธิ ชุมชนในป่าและความเป็นธรรมของชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอย” โดย คุณสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม

คำกล่าวเปิดงาน เวทีเสวนาวิชาการ “จากปู่โคอี้ ถึงบิลลี่ : การเรียกร้องสิทธิ ชุมชนในป่าและความเป็นธรรมของชุมชนกะเหรี่ยงบางกลอย” โดย คุณสุรพงษ์ กองจันทึก ประธานมูลนิธิผสานวัฒนธรรม

ครบ 4 ปีที่บิลลี่หายตัวไป และ 7 ปีที่ปู่คออี้ และชุมชนกะเหรี่ยงได้หายจากพื้นที่ “ใจแผ่นดิน” ทั้งบุคคลและชุมชนสูญหายไปในพื้นที่ป่าแก่งกระจาน ที่เรามาคุยกันในวันนี้เพื่อจะบอกว่าสิ่งที่หายไป จริงๆแล้วไม่ได้หาย  สิ่งนี้ยังอยู่ในความทรงจำของเรา  ยังอยู่ในจิตสำนึกของพวกเรา  และยังอยู่ในปรากฎการณ์จริงของสังคมไทย

ไม่ว่าจะ 7 ปีกรณีชุมชนกะเหรี่ยงถูกเผาก็ดี หรือ 4 ปีกรณีที่บิลลี่ถูกทำให้หายตัวไปก็ดี เราจะให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองกรณีนี้ได้อย่างไร ปู่คออี้และบิลลี่เป็นตัวแทนของชาวกะเหรี่ยงดั้งเดิม ซึ่งอยู่ในชุมชนที่เรียกว่า “ใจแผ่นดิน” มาเนิ่นนานแล้ว เรามีแผนที่บ้านใจแผ่นดิน เป็นแผนที่ที่พิมพ์เมื่อปี 2503 เอามาจากต้นฉบับเดิมปี 2484 มีการสำรวจโดยกรมแผนที่ทหารบกในปี 2455 หรือกว่า 100 ปีมาแล้ว นอกจากแผนที่ฉบับนี้ แผนที่ฉบับหลังจากนั้นก็ปรากฏชุมชนใจแผ่นดินตลอดมาในทุกแผนที่ของรัฐ ชุมชนเก่าแก่แห่งนี้ได้ถูกเผา ได้ถูกทำให้หายไปจากแผนที่

ผมเองได้มีโอกาสร่วมกับกรณีนี้เมื่อปี 2554 จากกรณีที่มีการเผาชุมชนของชาวกะเหรี่ยงบริเวณบ้านใจแผ่นดิน หรือว่าบ้านบางกลอยบน หลังจากเรา (สภาทนายความ) ได้ทราบเรื่องและได้รับการร้องเรียนจากเครือข่ายกะเหรี่ยงเพื่อวัฒนธรรมและสิ่งแวดล้อม เราก็ได้มีการลงพื้นที่ ครั้งนั้นมีอาจารย์ทัศน์กมล โอบอ้อม เป็นผู้ประสานงานพาปู่คออี้ พาบิลลี่และชาวบ้านมาพบกับเรา ชาวบ้านให้ข้อมูลว่าพวกเขาได้อยู่มาเนินนานอย่างไรบ้าง มีการเผาบ้านชาวบ้านอย่างไรบ้าง และภาพที่สื่อมวลชนนนำเสนอไปว่าเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ของฮีโร่ ที่ได้ทำลายชนกลุ่มน้อย ทำลายคนที่ไม่ปรารถนาดีต่อประเทศไทย ทำลายคนที่ไม่มีสัญชาติไทย แต่สิ่งที่เราพบ คือคนเหล่านี้เป็นคนไทย ปู่คออี้แม้จะไม่มีบัตรประจำตัวประชาชน เพราะไม่ได้ลงมาทำบัตร แต่ก็มีบัตรบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน มีตัวตนจริงในสังคมไทย และชุมชุนก็ถูกเผาจริง ชาวบ้านถูกขับไล่จริง

แต่น่าเศร้า หลังจากนั้นเพียง 7 วัน  อาจารย์ทัศน์กมล โอบอ้อม ผู้ที่ได้เปิดเผยตัวและเปิดเผยเรื่องราวเหล่านี้ให้กับเรา ก็ถูกยิงเสียชีวิต เมื่ออาจารย์ทัศน์กมลเสียชีวิต บิลลี่ก็ลุกขึ้นมาเป็นผู้ประสานงานให้เราต่อ

จากการทำงาน เราพบว่าชาวบ้านที่ถูกเผาบ้านทั้งหมดเป็นคนไทย มีบัตรประจำตัวอย่างถูกต้อง และมีการเผาบ้านชาวบ้านจริง ชาวบ้านคนหนึ่งเล่าให้เราฟังว่า ตอนเย็นมีฮอ (เฮริคอปเตอร์) ของเจ้าหน้าที่บินลงมา เจ้าหน้าที่มาที่บ้านของเขา เจ้าหน้าที่เอาไก่ที่บ้านของเขามาทำกินเป็นอาหารมื้อเย็น เสร็จแล้วก็นอนที่บ้านของเขา เช้ามืด เขาตกใจมาก เพราะมีไฟลุกไหม้บ้านของเขา เจ้าหน้าที่เป็นคนจุดไฟเผาบ้านเขา แล้วบอกให้เขารีบหนีไป มีการเอาปืนจอด้วย เขาจึงพาลูกพาเมียกระโดดลงจากบ้านแล้วก็หนีออกไปภายนอก โดยไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีทรัพย์สิน ไม่มีอะไรติดตัวไปเลย เขาอยู่ในป่า ใช้เวลาเดินทางหลายวันกว่าจะไปถึงบ้านญาติ

ชาวบ้านอีกคน ซึ่งเป็นเด็กหนุ่มหนึ่งเล่าให้เราฟังว่า เจ้าหน้าที่เอาเขาขึ้นฮอ แล้วให้ไปชี้ว่าบ้านชาวบ้านอยู่ตรงไหนบ้าง แล้วเจ้าหน้าที่ก็ลงไปเผา พอเผาจนหมดก็ถามเด็กหนุ่มคนนี้ว่าบ้านเขาอยู่ที่ไหน แล้วเจ้าหน้าที่ก็มาเผาบ้านของเขาเป็นหลังสุดท้าย

เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เกิดเหตุการณ์ฮอตก 3 ลำ กลายเป็นข่าวใหญ่โต ทางทหารออกมาชี้แจงหลังจากมีข่าวปรากฎทางสื่อมวลชนว่าไม่ใช่การกระทำของเจ้าหน้าที่ทหาร ก็คงมีเพียงเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานที่รับว่าทำเรื่องเหล่านี้

แต่ข้อมูลที่เจ้าหน้าที่ให้ต่อสื่อมวลชน กับข้อมูลที่เราได้มา กลับเป็นข้อมูลคนละชุดกัน เช่น เจ้าหน้าที่บอกว่าชาวบ้านเป็นชนกลุ่มน้อยจากต่างประเทศ แต่ข้อมูลของเราพบว่าชาวบ้านเป็นคนดั้งเดิมที่นั้น มีบัตรประจำตัวประชาชน มีทะเบียนบ้านอย่างถูกต้อง ชาวบ้านไม่ใช่คนที่เข้ามาใหม่ เจ้าหน้าที่บอกว่าชาวบ้านยุ่งเกี่ยวกับกองกำลังต่างชาติ ค้ายาเสพติด ข้อเท็จจริงก็ไม่มีเลย มีเพียงการจับลูกชายของปู่คออี้คนหนึ่งในข้อหามีอาวุธปืนไว้ในครอบครอง ซึ่งเป็นเพียงปืนแก็ป อาจารย์ทัศกมลพาผู้พิพากษาลงมาดูสภาพจริงในหมู่บ้าน ศาลก็เลยตัดสินลงโทษสถานเบา เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องจำเป็นในการทำมาหากิน

ในกรณีเผาบ้าน ศาลปกครองกลางได้มีคำพิพากษาออกมาแล้ว และตุลาการในศาลปกครองสูงสุดก็ได้มีความเห็นออกมาเมื่อเดือนที่ผ่านมาไปในทิศทางเดียวกัน โดยศาลมองว่าการที่เจ้าหน้าที่จัดสรรที่ให้แล้ว และชาวบ้านกลับไปอยู่ข้างบนถือเป็นการบุกรุกป่า ส่วนทรัพย์สินที่ถูกเผาไป ศาลมองว่าเจ้าหน้าที่สามารถที่จะเอาออกมาข้างนอกได้ การไปเผาทรัพย์ชาวบ้านจึงมีความผิด ให้ชดใช้ค่าเสียหายกรณีทรัพย์สินส่วนตัว 5,000 บาท และทรัพย์สินที่เป็นของใช้ภายในบ้านอีก 5,000 บาท รวม 10,000 บาท

มีประเด็นที่น่าสนใจคือ ศาลมองว่าบ้านที่ปู่คออี้อยู่อาศัยเป็นเพียงเพิงพัก ไม่ใช่บ้าน จึงไม่ได้รับการชดเชยค่าเสียหาย การที่ศาลมองไม่เห็นตัวตนของคนกะเหรี่ยง  มองไม่เห็นบ้านอันเป็นวิถีชีวิตของคนกะเหรี่ยง ถือเป็นปัญหาอย่างมาก

ปู่คออี้ เกิดอยู่กับป่า โตอยู่กับป่า ทำให้เกิดคำถามในยุคปัจจุบันนี้ว่า เสือดำอยู่กับป่า ได้รับการคุ้มครอง แต่ปู่คออี้และชาวบ้านใจแผ่นดิน ซึ่งอยู่ในป่ามาเนิ่นนานแล้วทำไมไม่ได้รับการคุ้มครอง ทำไมต้องไปไล่เขา ทำไมต้องไปเผาบ้านเขาด้วย  กรณีของเสือดำมีการจะเรียกร้องค่าเสียหาย เป็นเงินหลักล้านบาท แต่บ้านของปู่คออี้ และชุมชนใจแผ่นดินทั้งชุมชน มีราคาเพียง 10,000 บาท จึงมีคำถามว่าทำไมมุมมองด้านคุณค่าถึงออกมาแตกต่างกันขนาดนี้

ขณะที่มีการใช้พื้นที่ป่าดอยสุเทพปลูกบ้านพักหลังใหญ่ให้กับตุลาการ โดยถูกต้องตามกฎหมาย แต่บ้านหลังเล็กๆของปู่คออี้และชาวกะเหรี่ยงบางกลอยที่อยู่มาแต่ดั้งเดิม กลับไม่สามารถอยูได้ ต้องถูกเผาทิ้ง

พื้นที่ป่าดอยสุเทพ ถือเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ไม่แตกต่างอะไรจากใจแผ่นดินเลย ใจแผ่นดินในความเข้าใจของคนกะเหรี่ยง ถือเป็นดินแดนแห่งพันธสัญญาก็ได้ ถือเป็นเมกกะก็ได้ ถือเป็นดินแดนแห่งพระศรีอริยเมตไตรก็ได้ เพราะถือเป็นพื้นที่ที่ชาวกะเหรี่ยงให้การเคารพสูงสุด เป็นพื้นที่ที่คนปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเท่านั้นจะไปถึงได้ เป็นพื้นที่ที่น้ำท่าอุดมสมบูรณ์ เป็นพื้นที่แห่งอุดมคติอย่างแท้จริง การไปทำลายใจแผ่นดินจึงไม่ต่างอะไรจากการทำลายเมกกะ ไม่แตกต่างจากการทำลายจุดแห่งความเชื่อของแต่ละบุคคล ไม่แตกต่างอะไรจากการทำลายดอยสุเทพ เพราะพื้นที่เหล่านี้ถือเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์

ความสำคัญของเรื่องปู่คออี้ ไม่ใช่เพียงการไปเผาบ้านคนๆหนึ่ง แต่เป็นการทำลายความเชื่อสูงสุดของคนกะเหรี่ยง

เมื่อเช้านี้ ผมและมึนอ ภรรยาบิลลี่ได้เดินทางไปที่ดีเอสไอ (กรมสอบสวนคดีพิเศษ) เพื่อไปสอบถามความคืบหน้ากรณีที่ดีเอสไอรับเรื่องร้องเรียนกรณีที่บิลลี่หายไปไว้ 4 ปีแล้ว และดีเอสไอออกแถลงการณ์ว่าคดียังอยู่ระหว่างดำเนินการ รองอธิบดีดีเอสไอมาเล่าให้ฟังว่า ดีเอสไอจะเอาเรื่องของบิลลี่เข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการคดีพิเศษในการประชุมครั้งหน้า ซึ่งคาดว่าจะจัดในอีก 2 เดือนข้างหน้า นี้ก็อาจจะมีความหวังเล็กๆจากการขยับของดีเอสไอ

ส่วนเรื่องที่กล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานมีการกระทำความผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ที่ได้ถูกส่งไปให้ ป.ป.ท. พิจารณา ยังไม่มีความคืบหน้า เช่นเดียวกับเรื่องที่ปู่คออี้ แจ้งความร้องทุกข์ในการวางเพลิงเผาทรัพย์บ้านปู่คออี้  ซึ่งตำรวจก็พบว่ามีการวางเพลิงเผาทรัพย์จริง เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระจานจึงกระทำความผิดตามกฎหมาย มีการส่งเรื่องให้ ป.ป.ท. พิจารณา แต่เรื่องก็ยังไม่มีความคืบหน้าเช่นเดียวกัน ดังนั้น เราคงต้องช่วยกันติดตามให้ ป.ป.ท. เร่งดำเนินการกับคนที่กระทำความผิดในเรื่องเหล่านี้ต่อไป เพราะความล่าช้าคือความอยุติธรรม