คดีทรมานนักศึกษายะลา : บทพิสูจน์ความก้าวหน้ากระบวนการยุติธรรมไทย โดย จันทร์จิรา จันทร์แผ้ว

คดีทรมานนักศึกษายะลา : บทพิสูจน์ความก้าวหน้ากระบวนการยุติธรรมไทย โดย จันทร์จิรา จันทร์แผ้ว

คดียุทธศาสตร์อีกคดีหนึ่งที่เครือข่ายฯ เรียกกันติดปากคือ “คดีนักศึกษายะลา” เป็น คดีที่นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฎยะลา ถูกเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวและทรมานให้รับสารภาพ เนื่องจากเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดน ภาคใต้ โดยเจ้าหน้าที่ทหารใช้อำนาจควบคุมตัวตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.๒๔๕๗ เหตุควบคุมตัวและการทรมานดังกล่าวเกิดขึ้นในเดือนมกราคม ๒๕๕๑ ที่หน่วยเฉพาะกิจที่ ๑๑ จังหวัดยะลา และค่ายอิงคยุทธบริหาร จังหวัดปัตตานี

ที่เรียกกันติดปากว่าคดีนักศึกษายะลาก็เพราะว่าผู้ถูกควบคุมตัวและทรมานให้ รับสารภาพทั้งหมดรวม ๗ คน ยังเป็นนักศึกษาและบางส่วนทำกิจกรรมกับชุมชนและชาวบ้าน โดยเป็นสมาชิกของสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ โดยหวังว่าการทำกิจกรรมของตนจะเป็นส่วนหนึ่งในการคลี่คลายปัญหาความไม่สงบลง บ้าง แต่บทบาทดังกล่าวกลับเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ถูกควบคุมตัว

ปัญหาการใช้อำนาจตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.๒๔๕๗ และพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.๒๕๔๘ หรือที่เรียกกันว่ากฎหมายพิเศษ ทำให้ประชาชนตกเป็นผู้ต้องสงสัยและถูกควบคุมตัว ตลอดจนต้องเข้าสู่ขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรมโดยไม่จำเป็น สร้างภาระและความเดือดร้อนให้ประชาชนอย่างมาก ภายใต้มายาคติว่าชาวไทยมุสลิมเป็นผู้ก่อความไม่สงบ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวนอกจากไม่สามารถแก้ไขปัญหาความไม่สงบได้แล้ว ยังนำมาสู่ปัญหาการทรมานประชาชนโดยเจ้าหน้าที่เพื่อให้รับสารภาพอีกด้วย

คดี นักศึกษายะลาเป็นหนึ่งในคดีที่มีการควบคุมตัวโดยมิชอบและทรมานให้รับสารภาพ จำนวนมากที่เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้ การควบคุมตัวบุคคลโดยอาศัยอำนาจตามกฎอัยการศึกฯ ทำได้โดยง่าย เพียงเป็น “ผู้ต้องสงสัย” เจ้าหน้าที่ก็มีอำนาจควบคุมตัวบุคคลนั้นไว้ได้นาน ๗ วัน เมื่อครบกำหนด และเจ้าหน้าที่ประสงค์จะควบคุมตัวต่อไป ให้ขออนุญาตต่อศาลเพื่อออกหมายจับและควบคุมตัวตามพระราชกำหนดการบริหาร ราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินฯ ต่อไปอีก ๓๐ วัน หากพบพยานหลักฐานเกี่ยวกับการกระทำความผิด เจ้าหน้าที่สามารถฝากขังตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาได้อีกไม่เกิน ๘๔ วัน และตลอดระยะเวลานับแต่ถูกควบคุมตัวจนกระทั่งการพิจารณาคดีในชั้นศาล ผู้ต้องสงสัย ผู้ต้องหาหรือจำเลยมักไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเพราะความผิดเกี่ยวกับ การก่อการร้ายหรือความมั่นคงมีโทษหนัก จะเห็นได้ว่าการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าวข้างต้น เปิดช่องให้เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจและดุลพินิจได้อย่างกว้างขวาง การควบคุมตัวโดยไม่ชอบและการทรมานให้รับสารภาพตลอดจนการบังคับใช้กฎหมายของ เจ้าหน้าที่โดยไม่ชอบจึงเกิดขึ้น ด้วยเหตุเพียงประการเดียวคือพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ในสถานการณ์ความ ไม่สงบจำต้องให้อำนาจแก่เจ้าหน้าที่เพื่อความสะดวกในการปฏิบัติการ

การควบคุมตัวโดยไม่ชอบและ/หรือการทรมานอาจเกิดขึ้นได้กับประชาชนทุกคนรวมถึง ตัวเราเองก็อาจตกเป็นเหยื่อการทรมานได้ หากต้องสัมพันธ์กับการใช้อำนาจตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐ ผลกระทบร้ายแรง ๒ ประการที่เกิดจากการทรมาน ประการแรกคือผลกระทบต่อประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อการทรมาน ส่งผลต่อการดำเนินชีวิตในอนาคต สภาพร่างกายและจิตใจภายหลังการถูกทรมานเป็นเรื่องที่ต้องใช้ระยะเวลาในการ เยียวยายาวนาน หลายกรณีที่ประชาชนถูกทรมานให้รับสารภาพและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ต้องสูญเสียเสรีภาพไปกับกระบวนการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากความจริงปรากฏเมื่อศาลพิพากษายกฟ้องจำเลยหลังจากเวลา ผ่านไปหลายปีโดยจำเลยไม่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ทั้งหมดคือชีวิตที่ไม่สามารถถามหาความรับผิดชอบจากใครหรือหน่วยงานใดได้ อย่างเหมาะสม หรืออาจมีผลในทางสังคม เช่น คดีนี้นักศึกษาถูกควบคุมตัวและเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแนวร่วมก่อความไม่สงบ ย่อมจะส่งผลต่ออนาคตการทำงานหรือการรับราชการในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เป็นต้น ประการที่สองคือผลกระทบต่อระบบกระบวนการยุติธรรม หากเจ้าหน้าที่ใช้วิธีการทรมานแล้วไม่ถูกตรวจสอบหรือดำเนินคดี จะทำให้เกิดภาวะลอยนวลและทำซ้ำจนกลายเป็นวัฒนธรรมการใช้อำนาจที่ไม่ชอบด้วย กฎหมาย ส่งผลต่อหลักประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน และทำให้กระบวนการยุติธรรมทั้งระบบบิดเบี้ยวเนื่องจากเจ้าหน้าที่ผู้บังคับ ใช้กฎหมายบิดเบือนความจริงจนไม่สามารถทำให้ความจริงปรากฏ ผู้กระทำความผิดตัวจริงไม่ได้รับการลงโทษและผู้เสียหายไม่ได้รับการเยียวยา

การควบคุมและทรมานนักศึกษาทั้งเจ็ดคนเมื่อเดือนมกราคม ๒๕๕๑ นั้น ญาติของนักศึกษาทั้งเจ็ดโดยความช่วยเหลือของมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิมได้ ยื่นคำร้องขอให้ศาลจังหวัดปัตตานีปล่อยตัวตามมาตรา ๙๐ ประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความอาญา เนื่องจากเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวโดยไม่ชอบ เพราะควบคุมตัวเกิน ๗ วัน และพบว่ามีการทรมานผู้ถูกควบคุมตัว ศาลรับคำร้องและไต่สวนผู้ร้องฝ่ายเดียวและมีคำสั่งให้เรียกเจ้าหน้าที่ผู้ ควบคุมตัวมาศาลเพื่อไต่สวน แต่ปรากฏว่าก่อนถึงวันนัดไต่สวนของศาล เจ้าหน้าที่ได้ปล่อยตัวนักศึกษาทั้งหมดไป ศาลจึงไม่มีเหตุแห่งการวินิจฉัยเรื่องการควบคุมตัวโดยไม่ชอบและสั่งยกคำร้อง ดังกล่าว

นอกจากการควบคุมตัวเมื่อเดือนมกราคม ๒๕๕๑ แล้ว ในเดือนสิงหาคม ๒๕๕๑ เจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นและควบคุมตัวนักศึกษาอีก และนักศึกษาสองคนที่เป็นโจทก์ในคดีนี้ถูกควบคุมตัวเป็นครั้งที่ ๒ เป็นเวลา ๑๐ วัน แต่ไม่พบร่องรอยการทรมาน ข้อเท็จจริงดังกล่าวสะท้อนถึงปัญหาการบังคับใช้กฎหมายพิเศษในจังหวัดชายแดน ภาคใต้และปัญหาการควบคุมตัวซ้ำซาก และนำมาสู่คำถามต่องานการข่าวของหน่วยงานความมั่นคงว่าถูกต้องและมี ประสิทธิภาพมากน้อยเพียงใด

คดีนี้ นักศึกษาสองคนจากทั้งหมดเจ็ดคนเป็นโจทก์ยื่นฟ้องกระทรวงกลาโหมและกองทัพบก เป็นจำเลยต่อศาลแพ่งในเดือนมกราคม ๒๕๕๒ ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ.๒๕๓๙ ให้รับผิดแทนเจ้าหน้าที่ทหารผู้ใต้บังคับบัญชา เนื่องจากเจ้าหน้าที่ทหารควบคุมตัวโดยไม่ชอบและทรมานให้โจทก์ทั้งสองรับ สารภาพ แต่ในระหว่างทรมานเจ้าหน้าที่ใช้ผ้าปิดตาผู้ถูกทรมาน การฟ้องเจ้าหน้าที่เป็นคดีอาญาจึงไม่สามารถทำได้ เพราะไม่สามารถระบุตัวเจ้าหน้าที่ที่ทรมานได้ จึงฟ้องเป็นคดีแพ่งเพื่อให้ข้อเท็จจริงปรากฏและสามารถระบุตัวเจ้าหน้าที่ที่ เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดต่อไป เมื่อยื่นฟ้องต่อศาลแพ่งแล้ว ต่อมาพนักงานอัยการซึ่งทำหน้าที่แก้ต่างให้จำเลยได้ยื่นคำร้องต่อศาลแพ่งขอ ให้จำหน่ายคดี เนื่องจากเจ้าหน้าที่ใช้อำนาจตามกฎหมายพิเศษไม่ใช่การใช้อำนาจตามกระบวนการ ยุติธรรมทางอาญา คดีจึงอยู่ในอำนาจศาลปกครอง และศาลปกครองสงขลามีความเห็นว่าคดีดังกล่าวอยู่ในอำนาจศาลปกครอง ศาลแพ่งจึงได้โอนคดีไปยังศาลปกครองสงขลาเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๕๒ ปัจจุบันคดีอยู่ระหว่างการแสวงหาข้อเท็จจริงของศาลปกครองสงขลา

เครือข่ายฯ ได้ร่วมกับมูลนิธิผสานวัฒนธรรมและมูลนิธิศูนย์ทนายความมุสลิม เลือกคดีการทรมานเป็นคดียุทธศาสตร์ เนื่องจากสิทธิในชีวิตร่างกายเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานและเป็นรากฐานที่สำคัญของ สิทธิเสรีภาพอื่นๆ ในชีวิต และเจ้าหน้าที่ยังคงใช้วิธีทรมานให้รับสารภาพ ไม่เฉพาะกรณีปัญหาความไม่สงบเท่านั้น การปราบปรามยาเสพติดก็พบว่ามีการใช้วิธีทรมานให้รับสารภาพจำนวนมากเช่นกัน

ที่น่าตกใจคือสังคมไทยยอมรับการทรมาน!! ทั้ง ที่ระบบกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิของจำเลยได้พัฒนามาจนปัจจุบัน และชี้ให้เห็นแล้วว่าการทรมานไม่ได้ทำให้ความจริงปรากฏ หลักการสันนิษฐานว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์จนกว่าศาลจะพิพากษา ว่ามีความผิด และหลักเรื่องพยานหลักฐานจึงได้พัฒนามากขึ้นจนปัจจุบัน แต่หลักการกับอารมณ์ความรู้สึกมักเป็นเรื่องที่สวนทางกันอยู่เสมอในสังคมไทย ประโยคที่มักได้ยินที่ว่า ถ้าไม่ทรมาน คนร้ายที่ไหนจะยอมรับว่าทำผิด หรือ เจ้าหน้าที่ก็รู้ว่าใครทำผิด แต่ไม่มีหลักฐาน ต้องทรมานจึงจะรับสารภาพว่าทำผิด ดูจะเข้าใจง่ายและตรงใจผู้คนมากกว่าหลักการต่างๆ ที่สังคมยอมรับร่วมกันมานับศตวรรษ และหากถกถียงกันจนถึงระดับหนึ่ง ก็อาจมีการล้มกระดานคว่ำหลักการ เช่น จำเลยหรือผู้ร้ายไม่จำเป็นต้องได้รับสิทธิใดๆ ทั้งสิ้น หรือในทางตัดพ้อต่อว่า เช่น จำเลยที่ฆ่าคนหรือโจรมีสิทธิดีกว่าผู้เสียหายเสียอีก เหล่านี้สะท้อนให้เห็นแนวคิดกระแสหลักของคนในสังคมไทยที่ยึดถืออารมณ์ความ รู้สึกมากกว่าหลักการเพื่อประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน

กระบวนการยุติธรรมคือสถาบันหลักในสังคม เป็นผู้กำหนด พัฒนาระบบและหลักการต่างๆ เพื่อประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน บุคคลากรในกระบวนการยุติธรรมจึงต้องเป็นอิสระจากกระแสสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญหาความรุนแรงที่เกิดกับเจ้าหน้าที่และประชาชนส่วน หนึ่งมาจากปัญหาการไม่ได้รับความเป็นธรรม การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ซึ่งเกิดความบกพร่องผิดพลาด เกินสมควรกว่าเหตุ การฆ่านอกกฎหมาย การควบคุมตัวโดยไม่ชอบ การทรมานเพื่อให้รับสารภาพ หรือแม้แต่การกระทำที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายใดๆ ไม่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ถูกลงโทษหรือดำเนินคดี ในขณะที่ประชาชนจำนวนมากถูกผลักเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และมีสถิติการยกฟ้องในปี ๒๕๕๐-๒๕๕๑ ถึง ๖๖%*

กระบวนการยุติธรรมท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าวจึงมีหน้าที่ดำรงไว้ซึ่งความ เชื่อมั่นของประชาชนต่อรัฐ เมื่อประชาชนยอมจำกัดสิทธิเสรีภาพของตนเองและยอมรับการใช้อำนาจของรัฐเพื่อ ให้รัฐนำพาสังคมสู่ความสงบ แต่รัฐกลับเป็นผู้ละเมิดสิทธิประชาชนเสียเอง และกระบวนการยุติธรรมไม่สามารถถ่วงดุลหรือตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐได้ ประชาชนย่อมจะแสวงหาความยุติธรรมด้วยตนเอง และมาตรวัดความยุติธรรมในเชิงสถาบันจะเสื่อมถอยลง กลายเป็นอัตวิสัยของแต่ละผู้คนไปในที่สุด

แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๕๐ มาตรา ๓๒ และอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี จะบัญญัติห้ามการทรมานเพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลใดๆ ไม่ว่าในภาวะสงครามหรือสถานการณ์ฉุกเฉินหรือสถานการณ์พิเศษใดๆ ก็ตาม นอกจากนี้ ยังให้อำนาจศาลในการกำหนดให้มีการเยียวยาผู้เสียหายจากการทรมานตามสมควรอีก ด้วย แต่ประมวลกฎหมายอาญาไม่ได้กำหนดความผิดฐานนี้ไว้โดยตรง

และยังไม่มีกฎหมายลำดับรองออกมารับรองบทบัญญัติดังกล่าวทั้งใน การห้ามทรมานและการเยียวยา ตลอดจนมาตรการต่างๆ ที่จำเป็นเพื่อป้องกันการทรมานโดยเจ้าหน้าที่ ด้วยเหตุนี้ คดีนักศึกษายะลาจึงเป็นคดีที่ท้าทายและเป็นบทพิสูจน์บทบาทและความก้าวหน้า ของกระบวนการยุติธรรมในการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชน ที่ผ่านมามีการทรมานเกิดขึ้นจำนวนมาก แต่ผู้เสียหายไม่กล้าดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่ แต่ผู้เสียหายคดีนี้เป็นนักศึกษาที่ต้องการเปลี่ยนแปลงมาตรฐานการปฏิบัติ หน้าที่ของเจ้าหน้าที่ให้เป็นไปตามหลักการมากขึ้น จึงประสงค์จะฟ้องคดีเพื่อให้เกิดบรรทัดฐาน และให้เจ้าหน้าที่ผู้กระทำความผิดต้องรับผิดตามกระบวนการยุติธรรม และเป็นงานที่ท้าทายคณะทำงานคดีของเครือข่ายฯ ว่าจะสามารถนำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงและหลักการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการทรมานเพื่อสร้างความเข้าใจให้กระบวนการยุติธรรมและ สังคมไทยได้มากน้อยเพียงใดด้วยเช่นกัน

ท้ายที่สุดผลคดีจะเป็นอย่างไรก็ตาม เครือข่ายฯ และองค์กรภาคีหวังว่าการทำงานในคดีนี้ จะมีผลทำให้กระทรวงกลาโหม กองทัพบก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องซึ่งเป็นจำเลยหรือผู้ถูกฟ้องคดีได้ทบทวนแนวนโยบาย การบังคับใช้กฎหมายและ/หรือการจัดการปัญหาความไม่สงบ ตลอดจนการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเพื่อให้เป็น ไปในทางคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากขึ้น

เพราะความมั่นคงในชีวิตประชาชนคือความมั่นคงของรัฐโดยสมบูรณ์

จันทร์จิรา จันทร์แผ้ว
คณะทำงานคดีนักศึกษายะลา
เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน