เรื่องราวของเอกสารสิทธิ์และจอบเสียม

เรื่องราวของเอกสารสิทธิ์และจอบเสียม

เมื่อฝ่ายหนึ่งเป็นบริษัทที่มีเงินทุนกับอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเกษตรกรที่หาเช้ากินค่ำให้ตัวเองและครอบครัวอยู่รอด เรื่องราวการต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมที่เกิดขึ้นจริง ณ ชุมชนน้ำแดงพัฒนา จ.สุราษฎร์ธานี

นายเริงฤทธิ์ สโมสร สมาชิกสหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ เป็นหนึ่งในชาวชุมชนน้ำแดงพัฒนาจาก 15 คน ที่ถูกดำเนินคดีอาญาความผิดฐาน ซ่องโจร ร่วมกันบุกรุกเข้าไปในอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นเพื่อถือการครอบครองอสังหาริมทรัพย์นั้น ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนหรือเข้าไปกระทำการใดๆ อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นโดยปกติสุข และร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ซึ่งพืชหรือพืชผลของกสิกร (อ่านข้อมูลเพิ่มเติมคดีนี้ที่https://naksit.net/th/?p=608 )

ทางทีม HRLA ได้ลงไปติดตามสถานการณ์ต่างๆ ในพื้นที่ดังกล่าว ก็ได้พบกับนายเริงฤทธิ์ ซึ่งนายเริงฤทธิ์อาศัยอยู่ในชุมชนน้ำแดงมาระยะเวลาเกือบ 10 ปีแล้ว และได้เล่าเรื่องราวให้ฟัง…

“จากปัญหาที่เกิด เรื่องปากท้องของชาวบ้าน ส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยมีที่ทำกิน เป็นเหตุผลที่ต้องเข้ามาหาพื้นที่ทำกิน

ความรู้สึกของชาวบ้าน หลังจากที่ได้เข้ามาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน ก็รู้สึกว่าเป็นครอบครัว เป็นชุมชน ตลอดระยะเวลาปีที่ 10 เห็นว่าพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ที่ทิ้งร้าง ไม่มีผู้ใดมาใช้ประโยชน์ ชาวบ้านที่เป็นชาวบ้านข้างเคียง ก็เห็นว่าพื้นที่ตรงนี้เป็นพื้นที่ ที่ว่าน่าจะเอามาใช้ประโยชน์ เพื่อที่จะให้ครอบครัวมีอาชีพ ซึ่งชาวบ้านก็ไม่รู้ว่าที่ดินตรงนี้เป็นที่ดินประเภทไหน รู้แต่ว่าเป็นป่า ป่าที่ไม่มีใครใช้ประโยชน์ ชาวบ้านก็ทยอยเข้ามาทีละครัวสองครัว เข้ามาจับจองพื้นที่ทำกิน มาตลอดระยะเวลาที่เข้ามาอยู่ตั้งแต่ปลายปี 2551

ตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่มีใครเข้ามาแสดงสิทธิ์ว่าเป็นเจ้าของ กลุ่มชาวบ้านเองก็คาดไม่ถึงกับสิ่งที่เกิดขึ้นในเรื่องของคดีความ เพราะว่ามันเหมือนกับว่าชาวบ้านจน ๆ ที่เข้ามาใช้พื้นที่ ที่เค้าไม่ใช้ประโยชน์

แล้วจู่ ๆ มีคนมาอ้างว่าเป็นเจ้าของ โดยที่ชาวบ้านเองไม่เคยทราบมาก่อนว่ามีเจ้าของ จะมาอ้างสิทธิ์ มาฟ้องร้องมาดำเนินคดี กล่าวหาว่าร่วมกันบุกรุก ทำลายทรัพย์ และก็อั้งยี่ ซ่องโจร ทั้ง ๆ ที่พื้นที่ตรงนี้เป็นที่ดินทิ้งร้างไม่มีการใช้ประโยชน์มาก่อน

แล้วอีกอย่างหนึ่งสิ่งที่ว่าชาวบ้านเองรู้สึกเสียใจมากก็คือเรื่องของเจ้าหน้าที่รัฐในส่วนของฝ่ายกฎหมายที่คิดว่าคิดชาวบ้านผิดจริงๆ ทั้งที่ไม่มีการตรวจสอบให้แน่ชัดว่าเหตุผลที่ชาวบ้านเข้ามาอยู่เพราะอะไร ที่ดินตรงนั้นทิ้งร้างจริงหรือไม่ ทางเจ้าหน้าที่เอง ก็ไม่มีการพิสูจน์ กลับเห็นด้วยกับสิ่งที่บริษัทอ้าง และก็ยอมรับในข้อกล่าวหาที่เขากล่าวหาว่าชาวบ้านเป็นผู้บุกรุกจริง แล้วถึงกับฟ้องคดี ตรงนี้สำหรับชาวบ้านเองถือว่าเป็นข้อหาที่เยอะมาก จากคนจน ๆ ที่หาเช้ากินค่ำ แค่เลี้ยงปากเลี้ยงท้องให้ตัวเองอยู่รอด กลับโดนคดี ข้อหาอั้งยี่ ซ่องโจร เสียงเงินประกันด้วยหลักทรัพย์ 600,000 บาท มันไม่ใช่น้อยนะ กับสิ่งที่ทางเจ้าหน้าที่ หรือทางกระบวนการยุติธรรมจะเห็นว่า เราน่าจะมีความผิด มันน่าจะมีการตรวจสอบที่รัดกุมกว่านี้ กับสิ่งที่ว่าชาวบ้านเข้ามาทำ เข้ามาใช้ประโยชน์

ในความรู้สึกของชาวบ้าน หลังจากที่โดนคดีตรงนี้ ไม่กล้ายอมรับด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในกระบวนการยุติธรรมจะเป็นไปได้ถึงขนาดนี้ แต่ยังไงก็จะสู้ ในเมื่อคิดว่าพื้นที่ตรงนี้มันเป็นพื้นที่ของชุมชน เป็นพื้นที่ที่ชาวบ้านตั้งใจจะใช้ประโยชน์ และก็ไม่สามารถที่จะท้อถอย หรือว่ายอมรับในสิ่งที่เขากล่าวหา เพราะเห็นว่าจากที่ผ่านมาระยะเวลาตั้ง 10 ปี เพิ่งจะมีคนมาอ้างสิทธิ์ มันน่าจะมีความชอบธรรมกับชาวบ้านบ้าง

เค้าแค่ถือเอกสาร แต่ชาวบ้าน ถือจอบ ถือเสียม ทำมาหากิน ปลูกผัก ปลูกพืช เพื่อเลี้ยงครอบครัว เพื่อทำเป็นพืชเศรษฐกิจเลี้ยงชุมชน หรือว่าขายออกไปรอบรอบบ้าน มันสามารถที่จะใช้ประโยชน์ในพื้นที่ที่ดินที่เขาทิ้งร้างว่างเปล่าได้อย่างแท้จริง ก็อยากจะให้ทางกระบวนการยุติธรรมช่วยดูให้เป็นมาตรฐาน พิสูจน์ หรือว่าเห็นใจหน่อย”

ซึ่งในวันที่ 11 กันยายน 2560 นี้ ที่ศาลจังหวัดเวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี มีนัดไต่สวนคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว ของจำเลย 4 คนในคดี และมีนัดพร้อม สอบคำให้การ

เรื่องราวการต่อสู้จะเป็นอย่างไรต่อไป? เอกสารสิทธิ์และจอบเสียมจะดำเนินไปทิศทางใด? โปรดติดตาม !!!