เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ ประเทศไทย : ข้อคิดเห็นต่อการแถลงข่าวการประกาศใช้กฎหมายแร่ฉบับใหม่

เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ ประเทศไทย : ข้อคิดเห็นต่อการแถลงข่าวการประกาศใช้กฎหมายแร่ฉบับใหม่

๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ เผยแพร่ข้อคิดเห็นต่อการแถลงข่าวการประกาศใช้กฎหมายแร่ฉบับใหม่ โดยมีข้อความดังนี้

ตามที่กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) จัดให้มีการแถลงข่าวการประกาศใช้กฎหมายแร่ฉบับใหม่  หรือพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๖๐  ณ ห้องประชุมดีบุก ชั้น ๒  อาคาร กพร.  ในเช้าวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๐  นั้น  เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่มีข้อคิดเห็น  ดังนี้

๑. ย่อหน้าแรกในเอกสารแจกของ กพร. ประกอบการแถลงข่าวในครั้งนี้  อธิบายเนื้อหาเกี่ยวกับใบอนุญาตที่มีอยู่ก่อนแล้วไม่ครบถ้วน  ความว่า  “บรรดาบรรดาอาชญาบัตร  ประทานบัตร  หรือใบอนุญาตอยู่ก่อนแล้ว  ให้ถือเป็นการได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติฉบับใหม่นี้จนกว่าจะสิ้นอายุหรือถูกเพิกถอน”  นั้น

ตามมาตรา ๑๘๙ วรรคแรกของกฎหมายแร่ฉบับใหม่ระบุเนื้อหาที่ครบถ้วนเอาไว้ดังนี้  “บรรดาอาชญาบัตร  ประทานบัตร  หรือใบอนุญาตที่ได้ออกให้ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐  ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ  ให้ถือเป็นอาชญาบัตร  ประทานบัตร  หรือใบอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้  และให้ยังคงใช้ได้จนกว่าจะสิ้นอายุหรือถูกเพิกถอน  โดยต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้  ยกเว้นการจัดทําแนวพื้นที่กันชนการทําเหมืองและการจัดทําข้อมูลพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนตามมาตรา ๓๒  การฟื้นฟูสภาพพื้นที่การทําเหมือง  การวางหลักประกัน  และการจัดทําประกันภัยตามมาตรา ๖๘ (๘) และ (๙)  ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กําหนดไว้ในการออกประทานบัตร”

ในกฎหมายแร่ฉบับใหม่ระบุไว้ชัดเจนว่าบรรดาอาชญาบัตร  ประทานบัตร  หรือใบอนุญาตที่ได้ออกให้ตามกฎหมายแร่ฉบับเก่า  หรือพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐  ให้ถือเป็นอาชญาบัตร  ประทานบัตร  หรือใบอนุญาตตามกฎหมายแร่ฉบับใหม่และให้ยังคงใช้ได้จนกว่าจะสิ้นอายุหรือถูกเพิกถอน  โดยต้องปฎิบัติตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายแร่ฉบับใหม่ด้วย  ไม่ใช่ปฎิบัติตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายแร่ฉบับเก่าทั้งหมดแต่อย่างใด  ยกเว้นเพียงแค่การจัดทําแนวพื้นที่กันชนการทําเหมืองและการจัดทําข้อมูลพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน  การฟื้นฟูสภาพพื้นที่การทําเหมือง  การวางหลักประกัน  และการจัดทําประกันภัยให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กําหนดไว้ในการออกประทานบัตรที่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายแร่ฉบับเก่าเท่านั้น

ทั้งนี้  หลักเกณฑ์ในกฎหมายแร่ฉบับใหม่จะต้องถูกนำมาบังคับใช้กับบรรดาอาชญาบัตร  ประทานบัตร  หรือใบอนุญาตที่ได้ออกให้ตามกฎหมายแร่ฉบับเก่าด้วย  อาทิเช่น  หลักเกณฑ์เกี่ยวกับบทกำหนดโทษบรรดามีในกฎหมายแร่ฉบับใหม่ที่กำหนดโทษหนักขึ้นต่อผู้ประกอบการที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม  สังคมและสุขภาพที่เกิดขึ้นกับประชาชน  และละเลยต่อความรับผิดชอบและธรรมาภิบาลของการประกอบกิจการ  ไม่ว่าจะเป็นบทกำหนดโทษเกี่ยวกับการทำเหมืองในเขตอุทยานแห่งชาติ  เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า  เขตโบราณสถาน  โบราณวัตถุ  ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ  พื้นที่แหล่งต้นน้ําหรือป่าน้ําซับซึม  เป็นต้น  รวมทั้งบทกำหนดโทษเกี่ยวกับการทำเหมืองในพื้นที่อื่น ๆ ที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในการออกประทานบัตร    การลักลอบการทำเหมือง  การเก็บแร่  การขนแร่  การแต่งแร่  หรือการประกอบโลหกรรม  การลักลอบนำแร่ส่งออกนอกราชอาณาจักร  ฯลฯ

ดังนั้น  การระบุเนื้อหาอันเป็นสาระสำคัญไม่ครบถ้วนเกี่ยวกับบรรดาใบอนุญาตตามกฎหมายแร่ฉบับเก่าที่สามารถนำมาใช้ต่อไปได้ตามกฎหมายแร่ฉบับใหม่  ถ้าไม่ใช่ความผิดพลาดหรือไม่ตั้งใจ  ก็ถือเป็นการจงใจที่ส่อให้เห็นทัศนคติบิดเบือนกฎหมายของ กพร. ด้วยเจตนาปกป้องคุ้มครองประโยชน์ของผู้ประกอบการเป็นหลัก  ตั้งแต่จุดเริ่มต้นศักราชของการประกาศใช้กฎหมายแร่ฉบับใหม่

๒. เนื้อหาส่วนอื่น ๆ ของการแถลงข่าว  นอกจากบทบัญญัติในกฎหมายแร่ฉบับใหม่ที่ผ่านการรับรู้ของสังคมมาพอสมควรตลอดสองสามปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ยังเป็นร่างกฎหมายอยู่นั้น  ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก  เป็นเพียงแค่งานพิธีกรรมเพื่อประกาศก้าวแรกในการนำกฎหมายหรือนโยบายสู่การปฎิบัติ  ซึ่งกฎหมายแร่ฉบับใหม่จะเริ่มมีผลใช้บังคับในเร็ววันนี้  คือวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๐  แต่ที่น่าสนใจมากกว่ากลับเป็นการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ที่เกี่ยวกับการเตรียมการรื้อฟื้น ‘นโยบายการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำ’ เพื่อรองรับการกลับมาเปิดเหมืองทองคำใหม่อีกครั้งหนึ่ง

นับตั้งแต่ความพยายามผลักดันนโยบายการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำของ กพร. ในช่วงเดือนกันยายน ๒๕๕๘  เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการอย่างน้อย ๑๒ บริษัทยื่นขออาชญาบัตรพิเศษเพื่อสำรวจแร่ทองคำในพื้นที่ ๑๐ จังหวัดทั่วทุกภาคของประเทศ  พื้นที่รวมประมาณ ๑,๕๓๙,๖๔๔ ไร่  เกิดความล้มเหลวจากการเคลื่อนไหวของภาคปะชาชนที่รวมตัวกันเพื่อยื่นหนังสือพร้อมรายชื่อเกือบ ๒ หมื่นรายชื่อให้แก่นายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๕๕๘

ต่อมาคณะรัฐมนตรียังได้มีมติเป็นไปในทางยับยั้งนโยบายการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำอีก ๒ ครั้งในเวลาไล่เลี่ยกันเมื่อวันที่ ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๙  และ ๗  มิถุนายน ๒๕๕๙  รวมถึงมีคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ ๗๒/๒๕๕๙ เพื่อปิดและฟื้นฟูเหมืองทองคำที่มีอยู่ทั้งสองแห่งในประเทศอีกด้วย  แต่มีข้อแม้เกี่ยวกับการปิดและฟื้นฟูเหมืองทองคำว่า “จนกว่าคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติจะมีมติเป็นอย่างอื่น”  โดยที่คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติเป็นโครงสร้างใหม่ที่ถูกบัญญัติไว้ในกฎหมายแร่ฉบับใหม่

เวลาผ่านมาได้ประมาณ ๘ เดือน  นับตั้งแต่คำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับดังกล่าว  จึงเห็นแต่การหยุดกิจกรรมทำเหมือง  แต่ไม่เห็นว่าเหมืองทองทั้งสองแห่งดำเนินการฟื้นฟูเหมืองให้เกิดความคืบหน้าแต่อย่างใด  เพราะเกรงว่าการฟื้นฟูเหมืองจะเป็นอุปสรรคให้กลับมาเปิดเหมืองใหม่ไม่ได้  ผู้ประกอบการเหมืองทองทั้งสองแห่งจึงรอให้กฎหมายแร่ฉบับใหม่มีผลใช้บังคับใช้  เพื่อโน้มน้าวให้คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติมีมติให้เหมืองทองกลับมาเปิดใหม่ได้อีกครั้งหนึ่ง

ในช่วงเวลาประมาณ ๘ เดือนที่ผ่านมามีความพยายามอย่างหนักผ่านสภาการเหมืองแร่เพื่อเดินสายพูดคุยกับรัฐบาลด้วยความประสงค์ที่จะขอให้เหมืองทองคำทั้งสองแห่งกลับมาเปิดได้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง  สัญญาณเริ่มแรกก็คือการประชุมคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ (คนร.) ครั้งที่ ๑/๒๕๖๐  เมื่อวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๖๐  ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล  โดยที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคำ

ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๐  รับทราบกรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคำตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ ๗๒/๒๕๕๙

ต่อมาการประชุม คนร. ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐  ช่วงเช้าของวันที่ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๐  ณ ห้องประชุม ๓๐๑  ชั้น ๓  ตึกบัญชาการ ๑  ทำเนียบรัฐบาล  ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการบริหารจัดการอุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคำภายใต้กรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคำ  ที่อยู่ภายใต้กลไกของ คนร. ตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ ๗๒/๒๕๕๙  ซึ่งมีคำสั่งให้ผู้มีอำนาจดำเนินการไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง  ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจจากการทำเหมืองแร่ทองคำของประเทศภายใต้กรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ฯดังกล่าวที่จะมีการประกาศใช้ในเร็ว ๆ นี้  พร้อมรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการดำเนินการระงับข้อพิพาทระหว่างราชอาณาจักรไทยกับบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด จำกัด  ซึ่งเป็นเจ้าของเหมืองแร่ทองคำในเขตรอยต่อ ๓ จังหวัด  พิจิตร  เพชรบูรณ์และพิษณุโลกของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน)  ที่มีเรื่องฟ้องร้องตามเงื่อนไขข้อตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลียอยู่ในขณะนี้

ต่อจากนี้  คาดว่า กพร. และ คนร. ก็จะเร่งรีบจัดทำนโยบายการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำตาม ‘กรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคำ’ ที่ คนร. และ ครม. เห็นชอบแล้ว  เพื่อประกาศใช้หลังกฎหมายแร่ฉบับใหม่มีผลใช้บังคับในวันที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๖๐  ก็จะส่งผลให้เหมืองทองคำทั้งสองแห่งที่ถูกปิดตัวลงจากคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ ๗๒/๒๕๖๐  กลับมาเปิดใหม่ได้อีกครั้งหนึ่ง

ประเด็นสำคัญของการแถลงข่าวครั้งนี้จึงอยู่ที่ว่าจะสามารถใช้กฎหมายแร่ฉบับใหม่สร้างความชอบธรรมในการเปิดเหมืองทองคำที่ถูกปิดไปตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ ๗๒/๒๕๕๙ ได้หรือไม่

๓. อีกประการหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน  ก็คือ  กพร. กำลังเตรียมการใช้กฎหมายแร่ฉบับใหม่เพื่อสร้างความชอบธรรมในการอนุญาตให้ประทานบัตรเหมืองโปแตชจังหวัดอุดรธานีแก่บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ให้ได้ในเร็ว ๆ นี้

รวมถึงให้อนุญาตอาชญาบัตรพิเศษเพื่อสำรวจแร่โปแตชเพิ่มเติมแก่ผู้ประกอบการอีก ๓๔ ราย  รวมพื้นที่ ๓ ล้านกว่าไร่  ที่กระจายอยู่เป็นบริเวณกว้างขวางกินอาณาเขตหลายอำเภอในแต่ละจังหวัดของกาฬสินธุ์  นครราชสีมา  มหาสารคาม  ชัยภูมิ  ขอนแก่น  สกลนคร  หนองคาย  ยโสธร  ร้อยเอ็ด